ลิปทิ้นท์ แบรนด์ Peripera
วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
วันเสาร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
น้ำเต้าหู้ กับสรรพคุณที่หลากหลาย
เมื่อพูดถึงน้ำเต้าหู้
ทุกคนรู้จัก ในจีน น้ำเต้าหู้เป็นเครื่องดื่มที่ชาวจีนนิยมดื่มกัน ปีหลังๆนี้
ไม่ว่าในจีนหรือต่างประเทศ ก็นิยมดื่มน้ำเต้าหู้ ในจีนเกือบทุกแห่ง
เราจะพบเห็นร้านน้ำเต้าหู้
และร้านค้าไม่ว่าใหญ่หรือเล็กก็มีน้ำเต้าหู้ขายด้วยเช่นกัน คนจำนวนมากเชื่อว่า
น้ำเต้าหู้มีประโยชน์ทางโภชนาการมากกว่านมด้วยซ้ำ น้ำเต้าหู้ทำจากถั่วเหลือง
มีกลิ่นหอมจากถั่วเหลือง รสหวานหน่อย เป็นเครื่องดื่มที่มาจากธรรมชาติล้วนๆ
มีคุณประโยชน์หลายประการในการบำรุงสุขภาพ น้ำเต้าหู้อุดมด้วยโปรตีนที่ดี
และสารอาหารอีกหลายอย่างที่ร่างการต้องการ ชาวจีนเรียกว่าเป็น
"นมสีเขียว"
เนื่องจากสัดส่วนของกรดอะมิโนโปรตีนในน้ำเต้าหู้คล้ายคลึงกับกรดอะมิโนที่ร่างการมนุษย์ต้องการ
ร่างกายมนุษย์จึงดูดซึมง่าย แต่สัดส่วนของไขมันในน้ำเต้าหู้ต่ำมาก มีเพียง 0.7
กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร ต่ำกว่านมที่มีถึง 3.2กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร อีกทั้ง
น้ำเต้าหู้ไม่มีคอเลสเตอรอลและน้ำตาล ยิ่งเป็นผลดีต่อสุขภาพ ชาวจีนบอกว่า
"ดื่มน้ำเต้าหู้วันละ 1 แก้ว สุขภาพแข็งแรงทุกวัน"
คนจำนวนไม่น้อยเข้าในว่า น้ำเต้าหู้กำเนิดที่ญี่ปุ่น แต่ความจริง
บ้านเกิดของน้ำเต้าหู้แท้ๆ คือ จีน เล่ากันว่า เมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อน อ๋องหวายหนาน สมัยราชวงศ์ซีฮั่นชื่อหลิวอาน
เป็นผู้ทำน้ำเต้าหู้คนแรก อ๋องหลิวอานเป็นบุตรที่กตัญญูต่อพ่อแม่
เมื่อมารดาของเขาป่วย รับประทานอาหารไม่ลง ร่างกายผ่ายผอมลงทุกวัน
เขาก็พยายามแสวงหาอาหารที่มารดารับประทานได้ และเอาถั่วเหลืองฝนกับน้ำพร้อมกัน
ทำเป็นน้ำเต้าหู้ ให้มารดาดื่มทุกวัน มารดาหลิวอานดื่มแล้วรู้สึกรสหอม หวานดี
จึงชอบมาก สุขภาพก็ได้ฟื้นฟูขึ้นเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่นั้นมา
น้ำเต้าหู้ก็กลายเป็นเครื่องดื่มที่ชาวจีนนิยมกันมาจนถึงทุกวันนี้
แล้วน้ำเต้าหู้มีสารอาหารอะไรบ้าง เห็นว่ามิคุณค่าในการบำรุงสุขภาพสูงกว่านมด้วย
น้ำเต้าหู้มีคุณค่าทางโภชนาการเทียบเท่านม
และคุณค่าด้านการบำรุงสุขภาพสูงกว่านม น้ำเต้าหู้มีโปรตีน 1.8 กรัมต่อ 100 มิลลิลิต
ซึ่งเป็นโปรตีนจากพืชที่มีคุณภาพดีมาก ผลการทดลองปรากฎว่า
ร่างกายเราสามารถย่อยและดูดซึ่มน้ำเต้าหู้ได้กว่า 90% ที่เดียว
สูงกว่าถั่วเหลืองต้มที่มี 65% น้ำเต้าหู้มีสารอาหารหลายชนิด
อาทิ แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก สังกะสี และเซเลเนียม
สัดส่วนของเหล็กในน้ำเต้าหู้มากกว่านมถึง 1.6 เท่า
นอกจากนั้น ยังมีวิตามีนอีกหลายชนิด เช่น วิตามินA วิตามินE
วิตามิน B1 และวิตามิน B2 ถือเป็นเครื่องดื่มที่ราคาถูกแต่มีคุณค่าสูง นอกจากนั้น
น้ำเต้าหู้ยังมีกรดอะมิโน 18 ชนิด ในจำนวนนี้
รวมทั้งกรดอะมิโน 8 ชนิดที่ร่างกายมนุษย์ขาดเสียไม่ได้
และมีสารบำรุงสุขภาพอีกหลายชนิด เช่น เซลลูโรสถั่วเหลือง เลซิธินถั่วเหลือง
เป็นต้น ท่านทราบไหมคะว่า
น้ำเต้าหู้ไม่มีน้ำตาลขณะที่ในนมมักทำให้บางท่านท้องเสีย
แต่น้ำเต้าหู้ผู้ดื่มจะไม่มีอาการแพ้ใดๆ เหมาะสำหรับทุกกลุ่ม โดยเฉพาะเด็ก
ผู้สูงอายุ และผู้ที่ลดความอ้วน น้ำเต้าหู้ดื่มได้ในทุกฤดูกาลตลอดทั้งปี
ในประเทศที่มี 4 ฤดู ดื่มในฤดูใบไม้ผลิ และฤดูใบไม้ร่วง
สามารถปรับยินกับหยางในร่างกายในสมดุล รักษาความชื้นของร่างกาย ดื่มในฤดูร้อน
สามารถแก้ร้อนใน ขจัดความร้อนออกจากร่างกาย แก้อาการกระหายน้ำ ส่วนในฤดูหนาว
การดื่มน้ำเต้าหู้ร้อนๆ จะไล่ความหนาว ทำให้กระเพาะอาหารอุ่น สุขภาพแข็งแรง
น้ำเต้าหู้มีคุณมากมายขนาดนี้ น่าจะเป็นผลดีต่อการรักษาโรคหลายชนิดด้วยเช่นกัน
แล้วส่วนช่วยรักษาโรคอะไรบ้างคะ? เนื่องจากร่างกายมนุษย์ดูดซึมสารอาหารต่างๆ
ในน้ำเต้าหู้ได้ง่าย ดื่มน้ำเต้าหู้บ่อยๆ จะเป็นผลดีต่อการลดน้ำตาลในเลือด ลดไขมัน
ลดความดันโลหิตสูง ช่วยให้จุลินทรีย์ที่ดีเจริญเติบโตในลำไส้
ช่วยให้กระเพาะอาหารและลำไส้เคลื่อนตัว ปรับระดับอินซูลิน บำรุงสมอง
เสริมภูมิต้านทาน ช่วยขับเสมหะให้ออกจากปอด บำรุงตับและไต ป้องกันมะเร็ง ชะลอวัย
บำรุงม้าม และเสริมความงาม นักวิทยาศาสตร์เรียกน้ำเต้าหู้ว่า เป็น
"อาหารซุปเปอร์สตาร์บนโต๊ะอาหารในศตวรรษที่ 21" ดีจังเลย กล่าวได้ว่า น้ำเต้าหู้ไม่ใช่เครื่องดื่มธรรมดา ๆ
เรียกว่าเป็นเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพก็ว่าได้
เพราะว่าสารอาหารหลายชนิดในน้ำเต้าหู้มีคุณประโยชน์ต่อการรักษาโรคจริงๆ
อย่างโรคหลอดเลือดหัวใจ
สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เป็นโรคโรคหลอดเลือดในหัวใจคือ คอเลสเตอรอลในหลอดเลือดเพิ่มมากขึ้น
ผลการวิจัยปรากฎว่า โปรตีนจากถั่วเหลืองในน้ำเต้าหู้สามารถลดคอเลสเตอรอลได้
สำนักงานบริหารอาหารและยารักษาโรคของสหรัฐอเมริกา หรือ FDA ยืนยันว่า
โปรตีนถั่วเหลืองเป็นสารอาหารที่มีอยู่ในอาหารประเภทไขมันต่ำไม่อิ่มตัวและอาหารคอเลสเตอรอลต่ำได้
ถ้ารับประทานโปรตีนถั่วเหลือง 25 กรัมต่อวัน
จะลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจได้ นอกจากนี้
น้ำเต้าหู้ก็ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ด้วย เพราะทุกๆ วัน
ร่างกายเราจะสูญเสียแคลเซียมไปกับปัสสาวะ นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า
การป้องกันไม่ให้แคลเซียมสูญเสียไปพร้อมกับปัสสาวะ สำคัญกว่าการรับแคลเซียม
ผลการวิจัยปรากฎว่า เมื่อเทียบกับโปรตีนจากสัตว์แล้ว
โปรตีนจากถั่วเหลืองมีส่วนช่วยให้สูญเสียแคลเซียมไปกับปัสสาวะน้อยลง ประมาณ 103
มิลลิกรัมต่อวัน แต่ถ้ารับประทานอาหารที่เป็นโปรตีนจากสัตว์
จะสูญเสียแคลเซียมประมาณ150 มิลลิกรัมต่อวัน
น้ำเต้าหู้กับโรคโลหิตจาง น้ำเต้าหู้มีโปรตีนถั่วเหลืองที่ดี
สารแร่ธาตุและวิตามินหลายชนิด เช่นแคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก
จึงเป็นอาหารป้องกันและรักษาโรคโลหิตจางที่ดี
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของรัฐบาลจีนได้ทำการทดลองคือ ให้นักเรียน 6,573 คนดื่มน้ำเต้าหู้ต่อเนื่องกันหนึ่งปีครึ่ง ผลการตรวจปรากฎว่า
เม็ดเลือดแดงของนักเรียนเหล่านี้เพิ่มขึ้น0.10%-0.17% เมื่อเทียบกับนักเรียนที่ไม่ได้ดื่มน้ำเต้าหู้
น้ำเต้าหู้กับการเสริมสวย น้ำเต้าหู้มีฮอร์โมนเพศหญิงชนิดหนึ่ง
ชื่อว่า Soybean Isoflavones P.E. สามารถปรับปรุงระบบหลั่งน้ำเหลืองของร่างกาย
ผู้หญิงดื่มน้ำเต้าหู้ทุกวัน สามารถทำให้ผิวนิ่วนวล เปล่งปลั่ง มีความยืดหยุ่น
นักวิจัยญี่ปุ่นเห็นว่า ผู้หญิงควรดื่มน้ำเต้าหู้มากกว่านม จะเป็นผลดีต่อสุขภาพ
และหน้าตาสดใสยิ่งขึ้น น้ำเต้าหู้กับการบำรุงสมอง น้ำเต้าหู้มีเลซิธินจากถั่วเหลือง
ซึ่งเป็นสารประกอบสำคัญในการผลิตเยื่อเซลล์เส้นประสาม และไขสมอง ดังนั้น
จึงมีบทบาทในการบำรุงสมองและเซลล์ร่างกาย ทำให้ความจำดีขึ้น
น้ำเต้าหู้กับการลดความอ้วน
เปปไทด์จากถั่วเหลืองในน้ำเต้าหู้มีบทบาทช่วยละลายไขมัน และสารเคมีอีกชนิดหนึ่ง
น้ำเต้าหู้สามารถลดคอเลสเตอรอลในเลือด ผู้เชี่ยวชาญพบว่า
ผู้ที่อ้วนเกินไปส่วนใหญ่รับประทานอาหารไม่ถูกหลักโภชนาการ
อย่างเช่นรับประทานเนื้อสัตว์ ไข่ นม และอาหารที่มีไขมันจากสัตว์มากเกินไป
จนทำให้ไขมันตกค้างในร่างกายมากขึ้น จนอ้วนขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น รับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ให้น้อยลง
และรับประทานอาหารประเภทพืชให้มากขึ้น จะเป็นวิธีที่ดีสำหรับผู้ที่อยากลดความอ้วน
ดื่มน้ำเต้าหู้บ่อยๆ จะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างสมดุล ละลายไขมันที่มากเกิน
และทำให้กล้ามเนื้อมีกำลังวังชามากขึ้น ปัจจุบัน คนจีนจำนวนมากยิ่งขึ้นนิยทำน้ำเต้าหู้เอง
เพราะทั้งสะดวก สะอาด และราคาถูกกว่าซื้อจากร้านด้วย ดิฉันก็เช่นกัน
ได้ซื้อเครื่องทำน้ำเต้าหู้ไว้บนโต๊ะที่ห้องครัว ทำน้ำเต้าหู้ทุกเช้า
ดื่มได้ทั้งวันเลย น้ำเต้าหู้ไม่เพียงแต่มีน้ำถั่วเหลืองอย่างเดียว
ยังมีอีกหลายอย่าง ถ้ามีเครื่องทำน้ำเต้าหู้ที่บ้าน ก็สามารถทำเองที่บ้านได้ อาทิ
น้ำเต้าหู้ข้าว คือเอาถั่วเหลือง 20 กรัมผสมกับข้าวเจ้า 20
กรัม เอาถั่วเหลืองแช่ในน้ำธรรมดาประมาณ 10 ชั่วโมง
แล้วเทถั่วเหลืองและข้าวใส่ในเครื่องทำน้ำเต้าหู้ เติมน้ำเปล่าในปริมาณที่พอเหมาะ
กดปุ่มสตาร์ท รอสัก 20 นาที ก็จะได้น้ำเต้าหู้ที่เอร็ดอร่อย
กินได้ 3-4 คน นอกจากน้ำเต้าหู้ข้าวแล้ว
ยังมีน้ำเต้าหู้ถั่วเขียว คือผสมถั่วเหลือ ข้าวเจ้า อย่างละประมาณ 8 กรัมกับถั่วเขียวอีก 10 กรัม วิธีการทำเหมือนกัน
น้ำเต้าหู้ฟักทอง คือเอาฟักทอง ข้าวเจ้า ถั่วเขียว เนื้อลำไยแห้ง และลิลลี่อย่างละประมาณ
8 กรัม พุทราแดง 3 เม็ด เมล็ดบัว 4
เม็ดผสมด้วยกัน นำถั่วเขียวแช่ในน้ำธรรมดาจนพอง
แล้วเทลงไปในเครื่องทำน้ำเต้าหู้ประมาณ 20 นาทีก็ได้น้ำเต้าหู้ผสมออกมาแล้ว
น้ำเต้าหู้ดอกกุหลาบ เอาถั่วเหลือง 40 กรัมกับดอกกุหลาบ
5 ดอกผสมเข้าด้วยกัน แล้วใส่ในเครื่องบั่น น้ำเต้าหู้ชา
เอาถั่วเหลืองประมาณ 40 กรัม ชามะลิประมาณ 4 กรัมและชาเขียวอีกประมาณ 4 กรัมผสมด้วยกัน
วิธีการทำเหมือนกัน นอกจากนั้น เรายังสามารถทำน้ำเต้าหู้ข้าวโพด
น้ำเต้าหู้ข้าวฟ่างได้ด้วย ถ้าท่านผู้ฟังสนใจ รองทำบ้างซิคะ รับรองว่า
จะได้ทั้งถูกปาก ถูกใจ และประหยัดเงินด้วยค่ะ ผลการวิจัยยังพบว่า
การดื่มน้ำเต้าหู้กับอาหารบางชนิด จะได้ผลดีเป็นพิเศษต่อสุขภาพ อย่างเช่น
รับประทานน้ำเต้าหู้กับผักกาดขาว ผักกาดขาวอุดมด้วยสารสังกะสี
รับประทานกับน้ำเต้าหู้ จะมีคุณในการผลิตเซลล์เม็ดเลือด ชะลอวัย
ทั้งได้สารอาหารที่สมบูรณ์ และเสริมความงามด้วย น้ำเต้าหู้กับกะหล่ำปลี
รับประทานอาหารสองอย่างนี้ด้วยกัน จะได้ผลในการลดความดันโลหิต ลดไขมันในเลือด
ลดภาระของหลอดเลือดหัวใจ ทำให้หัวใจมีกำลังวังชามาขึ้น เลือกไหลเวียนได้คล่อง
ป้องกันมะเร็ง เสริมภูมิต้านทาน และบำรุงตับและไต น้ำเต้าหู้กับขาหมู
ขาหมูมีคอลลาเจนและไขมัน คาร์โบไฮเตรด รับประทานกับน้ำเต้าหู้ จะทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงยิ่งขึ้น
เลือดหมุนเวียนได้คล่องขึ้น และเสริมความงามได้ด้วย
แม้ว่าน้ำเต้าหู้มีคุณประโยชน์มากมายหลายประการ
แต่ก็ไม่ใช่เหมาะกับทุกกลุ่มคน ผู้ที่ป่วยเป็นลำไส้อักเสบเรื้อรัง ผู้ท้องเสียง่าย
ก็ไม่ควรดื่มมากและบ่อย และแต่ละครั้ง ไม่ว่าใครก็ไม่ควรดื่มมากเกินไป
เพราะจะทำให้กระเพาะมีภาระหนักขึ้นในการย่อยโปรตีนจากพืช จนท้องเฟ้อ และท้องเสีย
ขอขอบคุณที่มา http://thai.cri.cn/461/2010/02/05/224s169803.htm
วันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
มะเขือเทศ ประโยชน์จากธรรมชาติ

มะเขือเทศ เป็นพืชล้มลุกอายุเพียง
1
ปี ก็สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้
มะเขือเทศเป็นพืชชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร มีสารอาหารมากมาย เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินพี วิตามินบี1 วิตามินบี2
วิตามินเค ธาตุเหล็ก ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ไลโคพีน แคโรทีนอยด์
เบต้าแคโรทีน และ กรดอะมิโน ไลโคปีนเป็นสารอีกตัวในกลุ่มแคโรทีนอยด์
ซึ่งพบในผักผลไม้ที่มีสีส้มสีแดง อย่างเช่น แตงโม มะละกอ แครอท ฟักข้าว เกรปฟรุต
ถือเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์
ที่มีคุณสมบัติสามารถป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้ชั้นยอดได้
สรรพคุณมะเขือเทศ และ 10 ประโยชน์น้ำมะเขือเทศ
1. ประโยชน์น้ำมะเขือเทศ ช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื่นกระจ่างใสขาวแบบอมชมพู
2. ช่วยควบคุมและลดระดับน้ำตาลในเลือด
3. บำรุงผมให้เงางาม แข็งแรง ให้ผมมีสุขภาพดี
4. บำรุงสายตา ให้สายตาดูมีน้ำมีนวลตลอดเวลา
5. ป้องกันมะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด มะเร็งรังไข่
มะเร็งเต้านม มะเร็งตับอ่อน
6. ลดความเสี่ยงโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
7. ช่วยลดอาการบวมน้ำ
8. ชะลอความแก่ ลดริ้วรอย
เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระ
9. ช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด เลือดออกตามไรฟัน
10. ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ
ขอขอบคุณบทความดีดี
https://brannova.com
วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
ความสวยจากภายในสู่ความสงบทางจิตใจ
ขึ้นชื่อว่าความสวย
ไม่ว่าจะสวยเพียบพร้อมหน้าตางดงามดั่งนางฟ้า แต่ถ้ากริยาแย่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี
แม้หน้าจะสวย แต่ค่ะ!! สวยแค่ภายนอกคงไม่พอนะคะ
เราต้องสวยมาจากภายในด้วยถึงจะสมบูรณ์ ที่ผ่านมาเพจของเรานะคะ
ก็ได้ให้ความรู้ด้านความสวยงามไปแล้ว คราวนี้เราจะมาแนะนำความสวยจากภายในกันบ้างคะ
ลองอ่านกันเลยค่ะ
การทำจิตให้สงบ คือการวางให้พอดี
ตั้งใจเกินไปมากมันก็เลยไป ปล่อยเกินไปมันก็ไม่ถึง เพราะขาดความพอดี
ธรรมดาจิตเป็นของไม่อยู่นิ่ง เป็นของมีกิริยาไหวตัวอยู่เรื่อย
ฉะนั้นจิตใจของเราจึงไม่มีกำลัง ส่วนการทำจิตใจของเราให้มีกำลัง
กับการทำกายของเราให้มีกำลังมันต่างกัน การทำกายให้มีกำลังก็คือ การออกกำลัง
ทำกายบริหาร มีการกระโดด การวิ่ง นี่คือการทำกายให้มีกำลัง
การทำจิตใจให้มีกำลังก็คือทำจิตให้สงบ ไม่ใช่ทำจิตให้คิดนั่นคิดนี่ไปต่างๆ
ให้อยู่ในขอบเขตของมัน เพราะว่าจิตของเรานั้นไม่เคยได้สงบ ไม่เคยมีกำลัง
มันจึงไม่มีกำลังทางด้านสมาธิภายใน
การทำสมาธิ
บัดนี้เราจะทำสมาธิ ก็ตั้งใจ
ให้เอาความรู้สึกกำหนดอยู่กับลมหายใจ ถ้าหากว่าเราหายใจสั้นเกินไปหรือยาวเกินไป
ก็ไม่พอดี ไม่ได้สัดได้ส่วนกัน ไม่เกิดความสงบ เหมือนกันกับเราเย็บจักร
ผู้เย็บจักรมีมือมีเท้าเราต้องถีบจักรเปล่าดูก่อน
ให้รู้จักให้คล่องกับเท้าของเราเสียก่อนจึงเอาผ้ามาเย็บ การกำหนดลมหายใจก็เหมือนกัน
หายใจเฉยๆกำหนดรู้ไว้ จะพอดีขนาดไหน ยาวขนาดไหน สั้นขนาดไหน จะให้ค่อยขนาดไหน
แรงขนาดไหน จะยาวก็ไม่เอากับมัน จะสั้นก็ไม่เอากับมัน จะค่อยก็ไม่เอากับมัน
เอาตามความพอดี เอายาวพอดี เอาสั้นพอดี เอาค่อยพอดีเอาแรงพอดี นั่นชื่อว่าความพอดี
เราไม่ได้ขัดไม่ได้ข้องแล้วก็ปล่อย หายใจดูก่อนไม่ต้องทำอะไร
ถ้าหากว่าจิตสบายแล้ว
จิตพอดีแล้ว ก็ยกลมหายใจเข้าออกเป็นอารมณ์ หายใจเข้าต้นลมอยู่ปลายจมูก กลางลมอยู่หทัยคือหัวใจ
ปลายลมอยู่สะดือ อันนี้เป็นแหล่งการเดินลม เมื่อหายใจออก ต้นลมจะอยู่สะดือ
กลางลมจะอยู่หทัย ปลายลมจะอยู่จมูก นี่มันสลับกันอย่างนี้ กำหนดรู้เมื่อลมผ่านจมูก
ผ่านหทัย ผ่านสะดือ พอสุดแล้วก็จะเวียนกลับมาอีกเป็นสามจุดนี้ ให้ความรู้ของเราอยู่ในความเวียนเข้าออกทั้งสามจุดนี้
พยายามติดตามลมหายใจเช่นนี้เรื่อยไป
เพื่อรักษาความรู้นั้นและทำสติสัมปชัญญะของเราให้กล้าขึ้น
เมื่อหากว่าเรากำหนดจิตของเรา
ให้รู้จักต้นลม กลางลม ปลายลมดีแล้วพอสมควร เราก็วาง เราจะหายใจเข้าออกเฉยๆ
เอาความรู้สึกของเราไว้ปลายจมูก หรือริมฝีปากบนที่ลมผ่านออกผ่านเข้า
เอาแต่ความรู้สึกเท่านั้นไว้ที่นั่น ไม่ต้องตามลมออกไป ไม่ต้องตามลมเข้ามา
เอาความรู้สึกหรือผู้รู้นั่นแหละไว้เฉพาะหน้าเราที่ปลายจมูก
ให้รู้จักลมผ่านออกผ่านเข้า ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย
เพียงแต่ให้มีความรู้สึกเท่านั้นแหละ ให้มีความรู้สึกติดต่อกัน ลมออกก็ให้รู้
ลมเข้าก็ให้รู้ ให้รู้อยู่แต่ที่นั่นแหละ รู้แล้วมันจะเป็นอะไรก็ไม่ต้องคิด
เอาเพียงเท่านั้นเสียก่อนในเวลานี้ หน้าที่การงานของเรามีแค่นั้น ไม่ได้มีมาก
กำหนดลมเข้าออกอยู่อย่างนั้นแหละ ต่อไปจิตก็สงบ ลมก็จะละเอียดเข้าไป น้อยเข้าไป กายก็จะเบาเข้าไป
จิตก็จะสงบไป ความเบากายเบาใจนั้นก็จะเกิดขึ้นมา จะเป็นกายควรแก่การงาน
และจะเป็นจิตควรแก่การงานต่อไป นี่คือการทำสมาธิ ไม่ต้องทำอะไรมาก
ให้กำหนดเท่านั้น ต่อไปนี้ให้ตั้งใจทำกำหนดไป…
จิตเราละเอียดเข้าไป
การทำสมาธินั้นจะไปไหนก็ช่างมัน ให้เรารู้ทันเอาไว้ ให้เรารู้จักมัน
มันก็มีทั้งอารมณ์ มีทั้งความสงบ คลุกคลีกันไป มันมีวิตก
วิตกคือการจะยกจิตของตนนึกถึงอันใดอันหนึ่งขึ้นมา ถ้าสติของเราน้อยก็จะวิตกน้อย
แล้วก็มีวิจารคือ การตรวจดูตามเรื่องที่เราวิตกนั้น
แต่ข้อสำคัญนั้นต้องพยายามรู้ให้ทันอยู่เสมอ แล้วก็พิจารณาให้ลึกลงไปอีก
ให้เห็นว่า มีทั้งสมาธิและมีทั้งความรู้รวมอยู่ในนั้น
องค์ประกอบของความสงบ
คำว่า “จิตสงบ” นั้นไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรมันต้องมี
มีความสงบครอบอยู่ ท่านกล่าวถึงองค์ของความสงบขั้นแรกว่า หนึ่งมีวิตก
ยกเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นมา แล้วก็มีวิจาร คือพิจารณาตามอารมณที่เกิดขึ้นมา
ต่อไปก็จะมีปีติคือ ความยินดีในสิ่งที่เราวิตกไปนั้น ในสิ่งที่เราวิจารไปนั้น
จะเกิดปีติ คือความยินดีซาบซึ้งอยู่โดยเฉพาะของมัน แล้วก็มีสุข สุขอยู่ไหน
สุขอยู่ในการวิตก สุขอยู่ในการวิจาร สุขอยู่กับความอิ่มใจ
สุขอยู่กับอารมณ์เหล่านั้นแหละ แต่ว่ามันสุขอยู่ในความสงบ วิตกก็วิตกอยู่ในความสงบ
วิจารก็วิจารอยู่ในความสงบ ความอิ่มใจก็อยู่ในความสงบ สุขก็อยู่ในความสงบ
ทั้งสี่อย่างนี้เป็นอารมณ์อันเดียว อย่างที่ห้า คือ เอกัคคตา
ห้าอย่างแต่เป็นอันเดียวกัน คือทั้งห้าอย่างนี้เป็นอารมณ์ แต่มีลักษณะอยู่ในขอบเขตอันเดียวกัน
คือเมื่อจิตสงบ วิตกก็มี วิจารก็มี ปิติก็มี สุขก็มี เอกัคคตาก็มี
ทั้งหมดนี้เป็นอารมณ์เดียวกัน
คำที่ว่าอารมณ์เดียวกันนั้น
ทำไมจึงมีหลายอย่างหมายความว่า มันจะมีหลายอาการก็ช่างมัน
เพราะอาการทั้งหลายเหล่านั้น จะมารวมอยู่ในความสงบอันเดียวกันไม่ฟุ้งซ่าน ไม่รำคาญ
เหมือนกับว่ามีคน ๕ คน แต่ลักษณะของคนทั้ง ๕ คนนั้นมีอาการเดียวกัน
คือจะมีอารมณ์ทั้ง ๕ อารมณ์ เมื่ออารมณ์อันนั้นอยู่ในลักษณะ นี้ ท่านเรียกว่า “องค์” องค์ของความสงบ ท่านไม่ได้เรียกว่าอารมณ์ ท่านเรียกว่า วิตก วิจาร ปีติ
สุข เอกัคคตารมณ์ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ไม่เป็นอารมณ์ตามธรรมดา
ท่านจึงจัดว่าเป็นองค์ของความสงบมีอาการอยู่ ๕ อย่าง คือวิตก วิจาร ปีติ สุข
เอกัคคตา ไม่มีความรำคาญ วิตกอยู่ก็ไม่รำคาญ วิจารอยู่ก็ไม่รำคาญ มีปีติก็ไม่รำคาญ
มีความสุขก็ไม่รำคาญ จิตจึงเป็นอารมณ์เดียวอยู่ในสิ่งทั้ง ๕ นี้จับรวมกันอยู่
เรื่องจิตสงบขั้นแรกจึงเป็นอย่างนั้น
ปัญหาของการทำสมาธิ
ทีนี้บางอย่างอาจถอยออกมา
ถ้ากำลังใจไม่กล้า สติหย่อนไปแล้ว มันจะมีอารมณ์มาแทรกเข้าไปเป็นบางครั้ง
คล้ายๆกับว่าเคลิ้มไป แล้วมีอาการอะไรบางอย่างเข้ามาแทรกตอนที่มันเคลิ้มไป
แต่ไม่ใช่ความง่วงตามธรรมดา ท่านว่ามีความเคลิ้มในความสงบ
บางทีก็มีอะไรบางอย่างแทรกเข้ามา เช่นว่า บางทีมีเสียงปรากฏบ้าง
บางทีเหมือนเห็นสุนัขวิ่งผ่านไปข้างหน้าบ้าง แต่ว่าไม่ชัดเจนและก็ไม่ใช่ฝัน
อันนี้จัดเป็นฝันไม่ได้ ที่เป็นเช่นนี้เพราะกำลังทั้ง ๕
ดังกล่าวแล้วไม่สม่ำเสมอกัน มันอ่อนลง อ่อนเคลิ้มลง จึงเกิดอารมณ์เข้าแทรก
อันนี้เป็นอาการของจิต
ถ้าหากว่าเรามีความสงบมันก็มีสิ่ง ๕
สิ่งนี้เป็นบริวารอยู่ แต่เป็นบริวารในความสงบ อันนี้เป็นเบื้องแรกของมัน
ขณะที่จิตเราสงบอยู่ในขั้นนี้ ชอบมโนนิมิตทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น
ทางกายและทางจิต มันชอบเป็นแต่ผู้ทำสมาธิจับไม่ค่อยถูกว่า “มันหลับไหม? ก็ไม่ใช่” “มันฝันไปหรือ? ก็ไม่ใช่”
ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น มันเป็นอาการเกิดมาจากความสงบครึ่งๆกลางก็ได้
บางทีก็แจ่มใสเป็นธรรมดา บางทีก็คลุกคลีไปกับความสงบบ้าง กับอารมณ์ทั้งหลายบ้าง
แต่อยู่ในขอบเขตของมัน
อย่างไรก็ตาม บางคนทำสมาธิยาก เพราะอะไร
เพราะจริตแปลกเขา แต่ก็เป็นสมาธิ แต่ก็ไม่หนักแน่น ไม่ได้รับความสบายเพราะสมาธิ
แต่จะได้รับความสบายเพราะปัญญา เพราะปัญญาความคิด
เห็นความจริงของมันแล้วก็แก้ปัญหาถูกต้อง เป็นประเภทปัญญาวิมุตติ
ไม่ใช่เจโตวิมุตติ มันจะมีความสบายทุกอย่างที่จะได้เกิดขึ้นเป็นหนทางของเรา
เพราะปัญญา สมาธิมันน้อย คล้ายๆกับว่าไม่ต้องนั่งสมาธิ พิจารณา “อันนั้นเป็นอะไรหนอ”
แล้วแก้ปัญหาอันนั้นได้ทันที เลยสบายไป เลยสงบ
ลักษณะผู้มีปัญญาต้องเป็นอย่างนั้น
ทำสมาธินี้ไม่ค่อยได้ง่ายและไม่ค่อยดีด้วย
มีสมาธิแต่เพียงเฉพาะเลี้ยงปัญญาให้เกิดขึ้นมาได้ โดยมากอาศัยปัญญา เช่น สมมติว่า
ทำนากับทำสวน เราอาศัยนามากกว่าสวน หรือทำนากับทำไร่ เราจะได้อาศัยนามากกว่าไร่
ในเรื่องของเรา อาชีพของเรา และการภาวนาของเราก็เหมือนกัน
มันจะได้อาศัยปัญญาแก้ปัญหา แล้วจะเห็นความจริง ความสงบจึงเกิดขึ้นมา
มันเป็นไปอย่างนั้น ธรรมดาก็เป็นไปอย่างนั้น มันต่างกัน
หลุดพ้นด้วยปัญญาสมาธิ
บางคน แรงในทางปัญญา
สมาธิพอเป็นฐานไม่มาก คล้ายๆกับว่านั่งสมาธิ ไม่ค่อยสงบ ชอบมีความปรุงแต่ง
มีความคิดและมีปัญญาชักเรื่องนั้นมาพิจารณาชักเรื่องนี้มาพิจารณา
แล้วพิจารณาลงสู่ความสงบก็เห็นความถูกต้อง อันนั้นจะได้มีกำลังกว่าสมาธิ
อันนี้จริงของบางคนเป็นอย่างนั้น แม้จะยืนเดินนั่งนอนก็ตาม
ความตรัสรู้ธรรมะนั้นไม่แน่นอน จะเป็นอิริยาบถใดก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้
นั่งก็ได้ นอนก็ได้ อันนี้แหละผู้แรงด้วยปัญญา เป็นผู้มีปัญญา สามารถที่จะไม่เกี่ยวข้องกับสมาธิมากก็ได้
ถ้าพูดกันง่ายๆ ปัญญาเห็นเลย
เห็นไปเลยก็ละไปเลย สงบไปเลย ได้ความสบายเพราะอันนั้นมันเห็นชัดมันเห็นจริง
เชื่อมั่นยืนยันเป็นพยานตนเองได้ นี่จริตของบางคนเป็นไปอย่างนี้
แต่จะอย่างไรก็ช่างมัน ก็ต้องทำลายความเห็นผิดออก เหลือแต่ความเห็นถูก ทำลายความฟุ้งซ่านออก
เหลือแต่ความสงบ มันก็จะลงไปสู่จุดอันเดียวกัน
บางคนปัญญาน้อย นั่งสมาธิได้ง่าย สงบ
สงบเร็วที่สุด ไวแต่ไม่ค่อยมีปัญญา ไม่ทันกิเลสทั้งหลาย ไม่รู้เรื่องกิเลสทั้งหลาย
แก้ปัญหาไม่ค่อยได้ พระโยคาวจรเจ้าผู้ปฏิบัติมีสองหน้าอย่างนี้ ก็คู่กันเรื่อยไป แต่ปัญญาหรือวิปัสสนากับสมถะมันก็ทิ้งกันไม่ได้
คาบเกี่ยวกันไปเรื่อยๆอย่างนี้
ทีนี้ ถ้ามันชัดแจ้งในความสงบ
เมื่อมีอารมณ์มาผ่าน มีนิมิตขึ้นมาผ่าน ก็ไม่ได้สงสัยว่า “เคลิ้มไปหรือเปล่าหนอเมื่อกี้นี้?”
“หลงไปหรือเปล่าหนอเมื่อกี้นี้?” “ลืมไปหรือเปล่าหนอเมื่อกี้นี้?”
“หลับไปหรือเปล่าเมื่อกี้นี้?” จิตขณะนี้สงสัย
“หลับก็ไม่ใช่ ตื่นก็ไม่ใช่” นี่มันคลุมเครือเรียกว่า
มันมั่วสุมอยู่กับอารมณ์ ไม่แจ่มใสเหมือนกันกับพระจันทร์เข้าก้อนเมฆ
มองเห็นอยู่แล้ว แต่ไม่แจ่มแจ้งมัวๆ
ไม่เหมือนกับพระจันทร์ออกจากก้อนเมฆนั้นแจ่มใสสะอาด จิตเราสงบมีสติสัมปชัญญะรอบคอบสมบูรณ์แล้ว
จึงไม่สงสัยในอาการทั้งหลายที่เกิดขึ้น จะหมดจากนิวรณ์จริงๆ
รู้ว่าอันใดเกิดขึ้นมาเป็นอันใดหมดทุกอย่าง
รู้แจ้งรู้เรื่องตามเป็นจริงไม่ได้สงสัย อันนั้นเป็นดวงจิตที่ใสสะอาด
สมาธิถึงขีดแล้วเป็นเช่นนั้น
ระยะหลังๆมาก็เป็นไปในรูปอย่างนี้ทำนองนี้
เป็นเรื่องธรรมดาของมัน ถ้าจิตแจ่มแจ้งผ่องใสแล้ว ไม่ต้องไปถามว่าง่วงหรือไม่ง่วง
ใช่หรือไม่ใช่ ทั้งหลายเหล่านี้มันก็ไมมีอะไรถ้ามันชัดเจน
ก็เหมือนเรานั่งธรรมดาอย่างนี้เอง นั่งเห็นธรรมดา หลับตาก็เหมือนลืมตา
เห็นในขณะหลับตาก็เหมือนลืมตามาเห็นทุกอย่างสารพัด ไม่มีความสงสัย
เพียงแต่เกิดอัศจรรย์ขึ้นในดวงจิตของเราว่า “เอ๊ะ! สิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นของมันไปได้
มันไม่น่าจะเป็นไปได้ มันก็เป็นของมันได้” อันนี้จะวิพากษ์วิจารมันเองไปเรื่อยๆ
ทั้งมีปีติ ทั้งมีความสุขใจ มีความอิ่มใจ มีความสงบเป็นเช่นนั้น ต่อนั้นไปจิตมันจะละเอียดไปยิ่งกว่านั้น
มันก็จะทิ้งอารมณ์ของมันไปด้วย วิตกยกเรื่องขึ้นมาก็จะไม่มี
และเรื่องวิจารมันก็จะหมด จะเหลือแต่ความอิ่มใจ อิ่มไม่รู้ว่าอิ่มอะไร แต่มันอิ่ม
เกิดความสุขกับอารมณ์เดียว นี่มันทิ้งไป วิตกวิจารมันทิ้งไป ทิ้งไปไหน? ไม่ใช่เรื่องทิ้ง จิตเราหดตัวเข้ามาคือมันสงบ
เรื่องวิตกวิจารมันเป็นของหยาบไปแล้ว มันเข้ามาอยู่ในที่นี้ไม่ได้ก็เรียกว่า
ทิ้งวิตก ทิ้งวิจาร ทีนี้จะไม่มีความวิตก ความยกขึ้นวิจาร ความพิจารณาไมมี
มีแต่ความอิ่ม มีความสุขและมีอารมณ์เดียวเสวยอยู่อย่างนั้น
ที่เขาเรียกว่า ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน
จตุตถฌาน เราไม่ได้ว่าอย่างนั้น เราพูดถึงแต่ความสงบ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
ต่อไปนี้ก็ทิ้งวิตกวิจาร เกิดขึ้นมาแล้วก็ทิ้งไป เหลือแต่ ปีติ กับสุข เอกัคคตา
ต่อไปก็ทิ้งปีติ เหลือแต่ สุขกับเอกัคคตา ต่อไปก็มีเอกัคคตากับอุเบกขา
มันไม่มีอะไรแล้วมันทิ้งไป เรียกว่าจิตมันสงบๆๆๆ
จนไปถึงอารมณ์มันน้อยที่สุดยังเหลืออยู่แต่โน้น… ถึงปลายมัน เหลือแต่เอกัคคตากับอุเบกขา
เฉยอย่างนี้ อันนี้มันสงบแล้วมันจึงเป็น นี่ เรียกว่ากำลังของจิต
อาการของจิตที่ได้รับความสงบแล้วถ้าเป็นอย่างนี้มันไม่ง่วง
ความง่วงเหงาหาวนอนมันเข้าไม่ได้นิวรณ์ทั้งห้า มันหนีหมด วิจิกิจฉา ความสงสัยลังเล
อิจฉาพยาบาท ฟุ้งซ่าน รำคาญหนี เหล่านี้ไม่มีแล้ว
นี่มันค่อยเลื่อนไปเป็นระยะอย่างนั้น นี่อาศัยการกระทำให้มากเจริญให้มาก
สติ
สิ่งที่ช่วยรักษาสมาธิ
สิ่งที่รักษาสมาธินี้ไว้ได้ คือสติ
สตินี้เป็นธรรมเป็นสภาวธรรมอันหนึ่ง
ซึ่งให้ธรรมอันอื่นๆทั้งหลายเกิดขึ้นโดยพร้อมเพรียง สตินี้ก็คือชีวิต
ถ้าขาดสติเมื่อใดก็เหมือนตาย ถ้าขาดสติเมื่อใดก็เป็นคนประมาท ในระหว่างขาดสตินั้น
พูดไม่มีความหมาย การกระทำไม่มีความหมาย ธรรมคือสตินี้
คือความระลึกได้ในลักษณะใดก็ตาม สติเป็นเหตุให้สัมปชัญญะเกิดขึ้นมาได้
เป็นเหตุให้ปัญญาเกิดขึ้นมาได้ ทุกสิ่งสารพัด
ธรรมทั้งหลายถ้าหากว่าขาดสติ
ธรรมทั้งหลายนั้นไม่สมบูรณ์ อันนี้คือการควบคุม การยืน การเดิน การนั่ง การนอน
ไมใช่แต่เพียงขณะนั่งสมาธิเท่านั้น แม้เมื่อเราออกจากสมาธิไปแล้ว
สติก็ยังเป็นสิ่งประจำใจอยู่เสมอมีความรู้อยู่เสมอ เป็นของที่มีอยู่เสมอ
ทำอะไรก็ต้องระมัดระวัง เมื่อระมัดระวังทางจิตใจ ความอายมันก็เกิดขึ้นมา การพูด
การกระทำอันใดที่ไม่ถูกต้อง เราก็อายขึ้น อายขึ้น เมื่อความอายกำลังกล้าขึ้นมา
ความสังวรก็มากขึ้นด้วย เมื่อความสังวรมากขึ้น ความประมาทก็ไม่มี
นี่ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้นั่งสมาธิอยู่ตรงนี้ เราจะไปไหนก็ตาม อันนี้มันอยู่ในจิตของตัวเอง
มันไม่ได้หนีไปไหน นี่ท่านว่าเจริญสติ ทำให้มาก เจริญให้มาก
อันนี้เป็นธรรมะคุ้มครองรักษากิจการที่เราทำอยู่ หรือทำมาแล้ว
หรือกำลังจะกระทำอยู่ ในปัจจุบันนี้เป็นธรรมะที่มีคุณประโยชน์มาก
ให้เรารู้ตัวอยู่ทุกเมื่อ ความเห็นผิดชอบมันก็มีทุกเมื่อ
เมื่อความเห็นผิดชอบมีอยู่ เกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อ ความละอายก็เกิดขึ้น
จะไม่ทำสิ่งที่ผิดหรือสิ่งที่ไม่ดี เรียกว่าปัญญาเกิดขึ้นแล้ว
เมื่อรวบยอดเข้ามา มันจะมีศีล มีสมาธิ
มีปัญญา คือ การสังวรสำรวมที่มีอยู่ในกิจการของตนนั้น ก็เรียกว่าศีล ศีลสสังวร
ความตั้งใจมั่น อยู่ในความสังวรสำรวมในข้อวัตรของเรานั้น ก็เรียกว่ามันเป็นสมาธิ
ความรอบรู้ทั้งหลายในกิจการที่เรามีอยู่นั้น ก็เรียกว่าปัญญา พูดง่ายๆก็คือ
จะมีศีล จะมีสมาธิ จะมีปัญญา ศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี
เมื่อมันกล้าขึ้นมามันก็คือมรรค นี่แหละหนทาง ทางอื่นไม่มี
ขอบคุณธรรมะดีดีจาก
http://anuchah.com/meditation/
วันพุธที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
ยาสระผมที่ทำให้ผมยาวเร็ว
5 ตัวนี้แหละแจ่ม !
ยาสระผมที่ทำให้ผมยาวเร็ว หนึ่งในวิธีเร่งผมยาวที่จะช่วยให้ผมของคุณสาว ๆ
ยาวเร็วทันใจ ทั้งนี้จะมียาสระผมยี่ห้อไหนบ้างที่ใช้แล้วได้ผลดีจริง
ตามมาดูรีวิวกันเลย
ทุกวันนี้ยาสระผมในท้องตลอดมีหลายยี่ห้อให้สาว ๆ ได้เลือกใช้
แถมยังมีตั้งมากมายหลายสูตร ไม่ว่าจะเป็นสูตรขจัดรังแค สูตรลดผมร่วง
สูตรแก้ปัญหาผมเสีย และอีกสารพัดสูตร แต่ทั้งนี้ก็ยังคงมีอีกหนึ่งสูตรที่คุณสาว ๆ
หลายคนอยากจะตามหามาลองใช้ นั่นก็คือ "ยาสระผมสำหรับทำให้ผมยาวเร็ว"
แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีห้อยี่ไหนบ้าง และแต่ละยี่ห้อจะช่วยทำให้ผมยาวได้จริงไหม
วันนี้กระปุกดอทคอมจึงได้จัดรีวิวยาสระผมสำหรับทำให้ผมยาวเร็วมาเป็นตัวเลือกให้คุณสาว
ๆ ได้เลือกเอาไปลองใช้กันดูค่ะ เชื่อว่าจะช่วยให้คุณสาว ๆ
ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นแน่นอน เพราะนี่แหละคือยาสระผมเร่งผมยาวที่หลายคนใช้แล้วได้ผลดีจนต้องบอกต่อ...
Ecrinal Shampoo
แชมพูเร่งผมยาวตัวนี้สาว ๆ มักจะเรียกกันติดปากว่า แชมพูเร่งผมยาวพลังม้า เพราะตัวนี้ใช้แล้วช่วยเร่งผมให้ยาวเร็วทันใจได้จริง ๆ ซึ่งหลายเสียงจากคนที่เคยใช้บอกต่อกันมาแล้วว่า ภายในเดือนเดียวสามารถทำให้ผมยาวได้ถึง 1-2 นิ้วเลยทีเดียว เห็นแบบนี้แล้วใครที่อยากผมยาวเร็วไม่ควรพลาดเลยนะคะ
แชมพูเร่งผมยาวตัวนี้สาว ๆ มักจะเรียกกันติดปากว่า แชมพูเร่งผมยาวพลังม้า เพราะตัวนี้ใช้แล้วช่วยเร่งผมให้ยาวเร็วทันใจได้จริง ๆ ซึ่งหลายเสียงจากคนที่เคยใช้บอกต่อกันมาแล้วว่า ภายในเดือนเดียวสามารถทำให้ผมยาวได้ถึง 1-2 นิ้วเลยทีเดียว เห็นแบบนี้แล้วใครที่อยากผมยาวเร็วไม่ควรพลาดเลยนะคะ
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Sunsilk Thailand
Sunsilk Healthier And Long Shampoo
ตัวนี้เป็นแชมพูสำหรับคุณสาว ๆ ที่ต้องการไว้ผมยาวโดยเฉพาะ ใช้แล้วจะรู้สึกว่าผมมีสุขภาพดีขึ้นและแข็งแรงขึ้น ที่สำคัญตัวนี้ยังมีวิตามินช่วยกระตุ้นให้ผมยาวเร็วอีกด้วย เรียกได้ว่าในหนึ่งเดือนสามารถช่วยทำให้ผมยาวได้ถึง 1-2 เซนติเมตร ถือเป็นอีกตัวที่สาว ๆ ใช้แล้วจะต้องปลื้มแน่นอนค่ะ
Rejoice Rich Shampoo
แชมพูสีเขียวขวดนี้สาว ๆ ใช้แล้วจะต้องชอบใจ เพราะนอกจากจะทำให้ผมยาวเร็วแล้ว ยังจะช่วยให้ผมนุ่มลื่น แข็งแรง และมีน้ำหนัก บอกเลยว่าใช้เดือนหนึ่งสาว ๆ จะรู้สึกว่าผมยาวขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลยล่ะค่ะ
ภาพจาก pantene.co.th
Pantene Smooth & Silky Shampoo
แชมพูขวดสีเขียวสูตรเข้มข้น ตัวนี้สาว ๆ หลายคนใช้แล้วผมจะนุ่มลื่นขึ้น แต่ถึงแม้ว่าสูตรนี้จะไม่ใช่สูตรสำหรับเร่งผมยาวโดยเฉพาะ แต่คุณสาว ๆ ที่เคยใช้ยืนยันแล้วว่าผมยาวเร็วมาก ถือเป็นอีกหนึ่งตัวที่น่าลองเลยค่ะ
ภาพจาก biowoman.co.th
Bio Woman Long Hair Shampoo
สำหรับตัวนี้เป็นแชมพูสูตรสมุนไพรค่ะ ใช้แล้วจะช่วยบำรุงรากผมให้แข็งแรง ทำให้ผมดกดำและยาวเร็วขึ้น ที่สำคัญยังช่วยให้รังแคลดลงอีกด้วย เรียกได้ว่าใช้ขวดเดียวนี่คุ้มเลย
และทั้งหมดนี้ก็คือยาสระผมดี ๆ ที่จะช่วยทำให้ผมของคุณสาว ๆ ยาวเร็วได้ทันใจ รู้แบบนี้แล้วใครที่กำลังตามหากันอยู่ก็อย่ารอช้า รีบไปสอยมาใช้กันเลย รับรองผมยาวเร็วจนต้องตัดแล้วตัดอีกเชียวล่ะ
วันอังคารที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
15 เคล็ดลับทำไงให้สวยขึ้น

ความสวย กับ ผู้หญิง เป็นสิ่งที่คู่กันมาอย่างช้านาน และถ้าหากมีวิธีการ เคล็ดลับ หรือกลเม็ดใดๆที่ช่วยเพิ่มความสวยให้มากขึ้น เชื่อว่าคุณสาวๆทุกคนก็คงที่จะไม่รอช้า และพร้อมที่จะปฏิบัติตามวิธีการเหล่านั้นอย่างแน่นอน สำหรับคุณสาวๆที่อยากจะให้ตัวเองสวยมากยิ่งขึ้น ในบทความชิ้นนี้มีเคล็ดลับทำไงให้สวยขึ้นง่ายๆที่สามารถทำได้ด้วยตัวคุณสาวๆเอง
เคล็ดลับทำไงให้สวยขึ้นทั้ง 15 ข้อ ต่อไปนี้ ถึงแม้จะไม่ใช่ขนาดถูกบัญญัติขึ้นเป็นกฎเหล็ก แต่ก็เป็นสิ่งที่คุณสาวๆทุกคนควรจะปฏิบัติตามอย่างสม่ำเสมอให้เป็นประจำทุกวัน เพราะถ้าหากทำได้ทุกข้อแล้วล่ะก็ คุณสาวๆก็จะมีความสวยมากขึ้นเรื่อยๆจนสาวคนอื่นๆต้องมองด้วยความอิจฉากันเลยทีเดียว
1.ดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อย 2 แก้ว ทันทีที่ตื่นนอน น้ำเปล่าจะช่วยชำระล้างสิ่งสกปรก และของเสียที่ค้างคาอยู่ภายในร่างกาย เมื่อของเสียเหล่านี้ถูกกำจัดออกไปก็จะเป็นการช่วยทำให้ผิวพรรณของคุณสาวๆดูสดใส เปล่งปลั่งมากยิ่งขึ้น
2.ทานอาหารเช้าทุกวัน อาหารเช้าเป็นสิ่งที่ช่วยรักษาสมดุลน้ำหนักตัวของคุณสาวๆเอาไว้ให้คงที่
และยังช่วยทำให้สุขภาพแข็งแรง นอกจากนี้จากการวิจัยยังพบว่า คนที่ทานอาหารเช้าเป็นประจำทุกวัน
มีเปอร์เซ็นอ้วนน้อยมากกว่าคนที่ไม่ทานมื้อเช้าอีกต่างหาก
3.มื้อเช้าควรมีผลไม้บ้าง อาทิเช่น ส้ม แอปเปิ้ล แครอท ซึ่งสามารถรับประทานได้อย่างง่ายๆไม่ยุ่งยาก ผลไม้เหล่านี้จะช่วยบำรุงผิว ความสดชื่นในยามเช้า และยังช่วยทำให้เรามีสุขภาพดีอีกด้วย
3.มื้อเช้าควรมีผลไม้บ้าง อาทิเช่น ส้ม แอปเปิ้ล แครอท ซึ่งสามารถรับประทานได้อย่างง่ายๆไม่ยุ่งยาก ผลไม้เหล่านี้จะช่วยบำรุงผิว ความสดชื่นในยามเช้า และยังช่วยทำให้เรามีสุขภาพดีอีกด้วย
4.เดินเล่นในยามเช้าบ้าง ลองตื่นเช้าๆ แล้วออกมาเดินเล่น หรือวิ่งเหยาะๆ
ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง
จะช่วยทำให้ร่างกายสดชื่น และไหลเวียนโลหิตดีขึ้นเป็นอย่างมากอีกด้วย
5.เลือกใช้บอดี้โลชั่นให้เหมาะกับสถานที่ และผิวของตัวเอง อุณหภูมิภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไม่เท่ากันในแต่ละสถานที่ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผิวพรรณของคุณสาวๆ จึงควรที่จะมีการเลือกใช้บอดี้โลชั่นที่ให้เหมาะสมกับสภาพผิว เช่น ในฤดูร้อนที่รูขุมขนของคุณสาวๆจะเปิดกว้าง ควรเลือกใช้บอดี้โลชั่นเนื้อบางเบา ส่วนในหน้าหนาวที่ผิวต้องการความชุ่มชื้นเป็นพิเศษ ก็ควรเลือกใช้บอดี้โลชั่นที่มีส่วนผสมของ เอสเซนเชียลออยล์ หรือเชียบัตเตอร์ เป็นต้น
5.เลือกใช้บอดี้โลชั่นให้เหมาะกับสถานที่ และผิวของตัวเอง อุณหภูมิภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไม่เท่ากันในแต่ละสถานที่ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผิวพรรณของคุณสาวๆ จึงควรที่จะมีการเลือกใช้บอดี้โลชั่นที่ให้เหมาะสมกับสภาพผิว เช่น ในฤดูร้อนที่รูขุมขนของคุณสาวๆจะเปิดกว้าง ควรเลือกใช้บอดี้โลชั่นเนื้อบางเบา ส่วนในหน้าหนาวที่ผิวต้องการความชุ่มชื้นเป็นพิเศษ ก็ควรเลือกใช้บอดี้โลชั่นที่มีส่วนผสมของ เอสเซนเชียลออยล์ หรือเชียบัตเตอร์ เป็นต้น
6.ห้ามอาบน้ำอุ่นเกิน 10 นาที เพราะจะทำให้ผิวของคุณสาวๆแห้งมากยิ่งขึ้น
7.ในขณะอาบน้ำควรทำการขัดผิวไปด้วย เพราะนอกจากจะเป็นการช่วยกำจัดสิ่งสกปรก และกำจัดเซลล์ผิวที่ตายไปแล้ว ยังเป็นการช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตให้ดีมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
4.เดินเล่นในยามเช้าบ้าง ลองตื่นเช้าๆ แล้วออกมาเดินเล่น หรือวิ่งเหยาะๆ
ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง
จะช่วยทำให้ร่างกายสดชื่น และไหลเวียนโลหิตดีขึ้นเป็นอย่างมากอีกด้วย
8.ความเครียดเป็นสิ่งต้องห้าม ความเครียดส่งผลเสียโดยตรงต่อผิว เพราะเมื่อเกิดความเครียดขึ้น
กล้ามเนื้อบนใบหน้าจะเกิดการรัดตัวมากกว่าปกติ ทำให้ผิวหนังย่น เกิดริ้วรอย
และความหมองคล้ำ ที่สำคัญยังทำให้สุขภาพจิตแย่ลงอีกด้วย
9.พยายามหลีกเลี่ยงแสงแดดแรงๆ ในช่วงเวลา 9.00 -15.00 น. เป็นเวลาที่ปริมาณรังสียูวี มีความเข้มข้น และเป็นอันตรายต่อผิวมากที่สุด ถ้าหากคุณสาวๆไม่พยายามหลีกเลี่ยงการออกไปข้างนอกในช่วงเวลาดั่งกล่าว กว่าจะรู้ตัวอีกที คุณสาวๆก็อาจจะมีผิวที่ดำไหม้เกรียมไปเสียแล้ว
10.ทาครีมกันแดดป้องกันผิวทุกครั้งก่อนออกแดด แสงแดดเป็นอันตรายอันดับต้นๆที่คอยทำลายผิวของคุณสาวๆ ดังนั้นทุกครั้งก่อนออกไปข้างนอก คุณสาวๆควรปกป้องผิวของตัวเองโดยการทาครีมกันแดดทุกครั้ง โดยเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 35+++ ขึ้นไป
11.ดื่มนมก่อนนอน ในนมมีส่วนประกอบของสารอาหารมากมาย โดยเฉพาะวิตามินบีรวม ที่ช่วยบำรุงร่างกาย และผิวพรรณของคุณสาวๆ
9.พยายามหลีกเลี่ยงแสงแดดแรงๆ ในช่วงเวลา 9.00 -15.00 น. เป็นเวลาที่ปริมาณรังสียูวี มีความเข้มข้น และเป็นอันตรายต่อผิวมากที่สุด ถ้าหากคุณสาวๆไม่พยายามหลีกเลี่ยงการออกไปข้างนอกในช่วงเวลาดั่งกล่าว กว่าจะรู้ตัวอีกที คุณสาวๆก็อาจจะมีผิวที่ดำไหม้เกรียมไปเสียแล้ว
10.ทาครีมกันแดดป้องกันผิวทุกครั้งก่อนออกแดด แสงแดดเป็นอันตรายอันดับต้นๆที่คอยทำลายผิวของคุณสาวๆ ดังนั้นทุกครั้งก่อนออกไปข้างนอก คุณสาวๆควรปกป้องผิวของตัวเองโดยการทาครีมกันแดดทุกครั้ง โดยเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 35+++ ขึ้นไป
11.ดื่มนมก่อนนอน ในนมมีส่วนประกอบของสารอาหารมากมาย โดยเฉพาะวิตามินบีรวม ที่ช่วยบำรุงร่างกาย และผิวพรรณของคุณสาวๆ
12.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับพักผ่อนอย่างสนิทอย่างน้อย
7-8 ชั่วโมง เป็นประจำทุกวัน
เป็นการช่วยทำให้ผิวพรรณเกิดความเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวลมากยิ่งขึ้น
13.ควบคุมอาหารอย่าตามใจปากมาก การควบคุมอาหารอย่างถูกต้อง รับอาหารให้พอเหมาะในช่วงเวลาที่พอดี เป็นหนึ่งในเคล็ดลับทำไงให้สวยขึ้นที่จะช่วยทำให้คุณสาวๆสามารถรักษาทรวดทรงองค์เอวอันน่าพิสมัยเอาไว้ได้ แต่ถ้าหากตามใจปากมากจนเกินไป กินเอาๆ ระวังหุ่นจะอ้วนบวมฉุจนกู่ไม่กลับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าให้ทำการไดเอทอย่างสุดขั้ว เพราะนอกจากจะไม่เป็นผลดีต่อร่างายแล้ว ยังทำให้คุณสาวๆไร้เรี่ยวแรงในการทำกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวันอีกต่างหาก
14.ทำความสะอาดใบหน้าเป็นประจำ ทุกครั้งที่เราออกไปนอกบ้านมักจะมีฝุ่น หรือคราบสกปรกที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นติดมาบนใบหน้าโดยที่ไม่รู้ตัว ดังนั้นทุกวันในช่วงเย็น คุณสาวๆควรทำการล้างออกด้วยน้ำสะอาด หรือโฟมล้างหน้าที่มีความอ่อนโยน หลังจากนั้นให้ทำการเช็ดทำความสะอาดอีกครั้งด้วยคลีนเซอร์ และโทนเนอร์ ซึ่งจะช่วยในการขจัดสิ่งสกปรกออกจากใบหน้าได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังช่วยลดปัญหาการเกิดสิวขึ้นบนใบหน้าได้อีกด้วย
15.เปลี่ยนทรงผมใหม่ เสื้อผ้าใหม่ตามเทรนต์บ้าง ข้อนี้สำหรับคุณสาวๆที่ชอบทำผมทรงเดิมตลอดปีตลอดชาติ และสวมเสื้อผ้าเดิมๆสีเก่าซ้ำซากไม่เคยเปลี่ยน เพียงแค่หันมา เปลี่ยนทรงผม และเสื้อผ้าตามเทรนด์บ้างก็จะสามารถเป็นเคล็ดลับทำไงให้สวยขึ้นให้คุณสาวๆสวยขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว
13.ควบคุมอาหารอย่าตามใจปากมาก การควบคุมอาหารอย่างถูกต้อง รับอาหารให้พอเหมาะในช่วงเวลาที่พอดี เป็นหนึ่งในเคล็ดลับทำไงให้สวยขึ้นที่จะช่วยทำให้คุณสาวๆสามารถรักษาทรวดทรงองค์เอวอันน่าพิสมัยเอาไว้ได้ แต่ถ้าหากตามใจปากมากจนเกินไป กินเอาๆ ระวังหุ่นจะอ้วนบวมฉุจนกู่ไม่กลับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าให้ทำการไดเอทอย่างสุดขั้ว เพราะนอกจากจะไม่เป็นผลดีต่อร่างายแล้ว ยังทำให้คุณสาวๆไร้เรี่ยวแรงในการทำกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวันอีกต่างหาก
14.ทำความสะอาดใบหน้าเป็นประจำ ทุกครั้งที่เราออกไปนอกบ้านมักจะมีฝุ่น หรือคราบสกปรกที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นติดมาบนใบหน้าโดยที่ไม่รู้ตัว ดังนั้นทุกวันในช่วงเย็น คุณสาวๆควรทำการล้างออกด้วยน้ำสะอาด หรือโฟมล้างหน้าที่มีความอ่อนโยน หลังจากนั้นให้ทำการเช็ดทำความสะอาดอีกครั้งด้วยคลีนเซอร์ และโทนเนอร์ ซึ่งจะช่วยในการขจัดสิ่งสกปรกออกจากใบหน้าได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังช่วยลดปัญหาการเกิดสิวขึ้นบนใบหน้าได้อีกด้วย
15.เปลี่ยนทรงผมใหม่ เสื้อผ้าใหม่ตามเทรนต์บ้าง ข้อนี้สำหรับคุณสาวๆที่ชอบทำผมทรงเดิมตลอดปีตลอดชาติ และสวมเสื้อผ้าเดิมๆสีเก่าซ้ำซากไม่เคยเปลี่ยน เพียงแค่หันมา เปลี่ยนทรงผม และเสื้อผ้าตามเทรนด์บ้างก็จะสามารถเป็นเคล็ดลับทำไงให้สวยขึ้นให้คุณสาวๆสวยขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ
https://sites.google.com/a/srn.ac.th/157srnm3-4-3/neuxha4
วันเสาร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2560
5 อันดับครีม ที่รีวิวว่าใช้แล้วขาว!!
ใครที่อยากมีผิวที่ขาวใส เนียนสวย
แต่ก็กลัวว่ากว่าจะโบกครีมจนขาวคงกระเป๋าแบนซะก่อน ใครกำลังปวดตับกับปัญหานี้
ขอบอกเลยว่าเรามีตัวช่วยมาฝากอีกแล้วค่าาา #งานสวยประหยัดกลับมาแล้ว
เพราะเราจะพาไปรู้จักกับครีมทาตัวถูกและดี ที่หาซื้อได้ง่ายๆ
ในร้านสะดวกซื้อหรือซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป ราคาไม่กระเทือนขนหน้าแข้ง
อยากรู้ว่ามีอะไรน่าซื้อมาใช้ลองไปจดลิสต์กันด่วนๆ
1. เภสัช Body Whitening
เป็นครีมทาตัวที่ถูกสุดๆ
แถมยังได้ผลดีซะด้วย มีให้เลือกด้วยกัน 3 สูตร คือ เภสัชสีน้ำเงิน (สูตรดั้งเดิม
วิตามินบี 3, Double UV filter) เภสัชสีแดง (เพิ่มวิตามินอี)
และเภสัชขวดชมพู (เพิ่มคอลลาเจน)
ส่วนใหญ่ที่ลองใช้คอนเฟิร์มว่าขาวขึ้นจริงอะไรจริง และขาวขึ้นทุกสูตรไม่แตกต่างกัน
ราคาประมาณ 50 บาท (250 ml.)
2. วาสลีน Healthy White Vitamin B3
อีกหนึ่งสูตรดังที่ใช้แล้วเห็นผลว่าขาวเนียนขึ้นจริง
คงขาดตัวนี้ไปไม่ได้ ซึ่งสาวๆ เรียกกันติดปากว่า วาสลีนขวดชมพู หรือวาสลีน B3 เพราะมีส่วนผสมของวิตามินบี
3 ที่ช่วยให้ขาวขึ้นได้จริง ราคาประมาณ 200 บาท (400 ml.)
3. ซิตร้า ไวท์
ใช้ดีหลายตัวสำหรับครีทาตัวจากซิตร้า
ซึ่งช่วยให้ผิวเนียนเรียบ และขาวขึ้นได้จริง รุ่นฮิตๆ ก็คือ Perly White, Ultimate White หรือเรียกง่ายๆ ว่า ซิตร้าขวดชมพู, ซิตร้าขวดส้ม
ราคาประมาณ 160 บาท (400 ml.)
4. มิสทีน White Spa
นอกจากเครื่องสำอางจะโด่งดังแล้ว
ครีมทาตัวจากมิสทีนก็โด่งดังไม่แพ้กัน
เพราะราคาไม่แพงแต่ทาแล้วเห็นผลว่าผิวเนียนขาวขึ้น รุ่นฮิตก็คือ ไวท์สปาโกลด์
(สีทอง) ไวท์ สปา กลูต้า (สีชมพู) ราคาประมาณ 99 บาท (400 ml.)
5. นีเวีย UV Whitening
นีเวียขวดสีขาวส้มเป็นอีกตัวที่โด่งดังว่าทาแล้วผิวขาวเนียนขึ้นจริง
นอกจากนี้ครีมทาตัวของนีเวียก็ยังมีรุ่นฮิตๆ ที่ใช้ดีอีกหลายรุ่น เช่น นีเวีย
เอ็กซ์ตร้า ไวท์เทนนิ่ง, นีเวีย อินสแตนท์ไวท์ เป็นต้น ราคาประมาณ 150 บาท (250
ml.)
ก็จบการรีวิวแล้ว หนุ่มๆสาวๆ ก็ลองไปเลือกหามาใช้ดูกันนะค่ะ แล้วเจอกันใหม่ See yaa!!
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)